บริเวณที่พบ : ทางเข้าแปลงเกษตร
ลักษณะพิเศษของพืช : ดอกมีกลิ่นหอม
ลักษณะทั่วไป : ไม้พุ่มขนาดเล็ก
ลำต้น : ตั้งตรงมีขนตามลำต้นและก้านใบ มักแตกกอมากกิ่งก้านสี่เหลี่ยม
ใบ : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่กว้าง กว้าง 8-11 เซนติเมตร ยาว 12-16 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่มหรือรูปหัวใจ
ขอบหยักฟันซี่ห่าง แผ่นใบหนา ผิวใบด้านบนสีเขียวหม่น ผิวใบด้านล่างสีเขียวอ่อน มีขนละเอียดทั้งสองด้าน
ดอก : สีขาว กลีบนอกสีชมพูอมม่วง มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว6-11 เซนติเมตร
ช่อละ 3-5 ดอก กลีบเลี้ยงสีม่วงแดง โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีกลีบดอกจำนวนมากซ้อนกันแน่น
ลักษณะคล้ายดอกมะลิซ้อน ทยอยบานและบานหลายวัน ช่อดอกบานเต็มที่กว้าง6-10 เซนติเมตร
ผล : ผลสด ทรงกลมถึงรูปรี เมล็ดเดียว เเข็ง แต่ไม่ค่อยติดผล
การกระจายพันธุ์ : ถิ่นกำเนิดเอเชียตะวันออก ชอบขึ้นในที่มีความชุ่มชื้น แดดรำไร พบขึ้นอยู่ตามป่าดิบชื้น และป่าเบญจพรรณทั่วไป
ประโยชน์ : ใบ นำมาตำพอกแก้โรคผิวหนังและผื่นคัน ทั้งต้น แก้พิษเพื่อฝีกาฬภายใน
ราก นำมาปรุงเป็นยาแก้ปวดเอวและปวดข้อ ริดสีดวงทวาร แก้เหน็บชา ขับระดูขาว แก้หลอดลมอักเสบและกระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง
ราก ขับปัสสาวะ แก้โรคลำไส้ แก้ไตพิการ ยาพื้นบ้านใช้ราก ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้อง รากฝนกับน้ำปูนใส ทารักษาเริม งูสวัด